"
หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่
มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง
"
วลีเด็ดประจำเรื่องนี้ ยังคงใช้การได้ดีใน 'SPIDER-MAN : Far From Home' ที่เพิ่งเข้าโรงฉายกันไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ กับเรื่องราวของ สไปเดอร์แมน หรือ Peter Parker (Tom Holland) หลังจากจบเหตุการณ์ธานอสดีดนิ้วไปได้ ปีเตอร์ก็ได้ออกไปทัศนศึกษาในช่วงวันหยุดฤดูร้อนในยุโรปพร้อมกับเพื่อนๆ และในช่วงที่เขาห่างจากบ้านอยู่ต่างประเทศนี้เอง ก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาต้องไปจับมือรวมทีมกับ Mysterio (Jake Gyllenhaal) เพื่อต่อสู้กับเหล่าวายร้าย The Elementals แม้ว่าตัวสไปเดอร์แมน หรือปีเตอร์ พาร์คเกอร์เอง จะยังรู้สึกเศร้าและฝังใจกับการจากไปของวีรบุรุษที่เขารักและเคารพเสมือนพ่ออย่าง 'Tony Strark' หรือ 'Ironman' อยู่ก็ตาม
cr. www.marvel.com
ดังนั้นจึงจะขอเกริ่นคร่าว ๆ ก่อนว่า เมื่อครั้งที่ลิขสิทธิ์ของสไปเดอร์แมนตกมาอยู่ในมือเจ้าของที่แท้ทรูอย่าง MARVEL ที่ถือว่าในขณะนั้นจักรวาลของ MARVEL ค่อนข้างมีการปูโครงสร้างของไทม์ไลน์เนื้อเรื่องโดยรวมมาในระดับหนึ่งแล้ว ก็เลยทำใจมาได้สักระยะหนึ่งแล้วว่า การกลับมาบ้านของสไปเดอร์แมนในภาคแรกนั้น มันจะไม่ใช่หนังเดี่ยว ยืนหนึ่งด้วยลำแข้งของสไปดี้คนเดียวอีกต่อไป แต่มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการขับเคลื่อนไปข้างหน้าของจักรวาลมาร์เวล ไปพร้อม ๆ กับเริ่มปูเนื้อเรื่องของตัวเองใหม่อีกครั้ง กับสไปเดอร์แมนคนใหม่ นักแสดงกองทัพใหม่ และทีมงานใหม่หมดทุกอย่าง (ซึ่งโชคดีมากที่คราวนี้เราไม่ได้มาทนดูลุงเบนตายอีกเป็นครั้งที่ 3!)
cr. www.highsnobiety.com
ซึ่งทั้งหมดที่เกริ่นมานั้น คือส่วนหนึ่งของข้อดีที่ทำให้เรารู้สึกอินกับสไปเดอร์แมนฉบับใหม่นี้ได้ไม่ยาก เพราะมันมีการปูเรื่องราว และอารมณ์ส่งมาเป็นทอด ๆ จาก Endgame ที่ถือว่าประสบความสำเร็จกับการเล่นกับความรู้สึกกับคนดูได้ดีเชียว จนในภาคนี้เราจึงรู้สึกได้จริง ๆ ว่า สไปเดอร์แมน หรือ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ในเวอร์ชั่นของทอมฮอล์แลนด์นั้นมีเสน่ห์มาก ๆ ทอม ฮอล์แลนด์เก่งมากที่สามารถกลายเป็นปีเตอร์ในเวอร์ชั่นที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนจากภาคไหน ๆ และเราเชื่อจริง ๆ ว่าเขาเป็นสไปเดอร์แมน จากเด็กน้อยที่ wanna be อยากจะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ จนกลายมาเป็นเด็กหนุ่มผู้เผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ และต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตและผ่านมันไปให้เร็วที่สุด จนทำให้เราแทบจะลืมสไปเดอร์แมนในเวอร์ชั่นของโทบี้ แม็คไกวไปได้แทบทั้งหมดเลยล่ะ (หลังจากที่ยืนหนึ่งมานาน)
📍โดยรวมของหนังภาคนี้มีความโตขึ้น เล่าเรื่องเร็ว กระชับ และมีชั้นเชิงการเล่าเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ แม้ว่าธีมของหนังจะยังเป็นสไตล์ Coming of Age คล้าย ๆ ภาคแรก ที่คอนเซ็ปของเรื่องยังคงให้น้ำหนักกับภาระอันหนักอึ้ง ที่ดันมาตกอยู่บนบ่าของเด็กที่อายุแค่ 16 ปี จากที่โลกใบนี้ไม่มีไอออนแมนอีกต่อไป เขากลายเป็นคนที่ใคร ๆ ก็คาดหวังว่าจะมาแทนโทนี่ สตาร์คได้ แต่ไม่เคยให้ทางเลือกว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ บวกกับสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นจากตัวร้ายตัวใหม่ที่แม้จะไม่ผิดจากคาดไปเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีดีเทลบางมุมที่เราเซอร์ไพร์สและประทับใจกับการแสดงของ Mysterio หรือ Jake Gyllenhaal มากมาย จนเราคนดู ดูไปก็ลุ้นและคิดตามไปตลอดว่า 'โห จะแก้ยังไงล่ะเนี่ย!' ได้ตลอดเวลา ชอบมาก!
cr. www.hollywoodreporter.com
ส่วนข้อเสียที่กำลังจะพูดถึงในสไปเดอร์แมนภาคนี้ แม้ว่าจะไม่มีอะไรเยอะมากมาย แต่ก็ถือว่าเป็นจุดบอดที่สำคัญ เช่น เรื่องของฉากต่อสู้ที่เยอะขึ้นกว่าภาคที่แล้วมาก แต่ก็ยังไม่มีฉากต่อสู้ที่ขึ้นหิ้งกลายเป็นภาพที่จำตราตรึงใจคนดูสักเท่าไหร่ และอาจจะด้วยเนื้อเรื่อง และซัพพล็อตที่มีอยู่มากเกินไป ทำให้ระยะเวลาในการลงดีเทลตัวละครแต่ละตัวน้อยลง พอเราได้รู้จักตัวละครน้อยลง เราก็จะรู้สึกว่าเหตุผลของการกระทำบางอย่างมันยังไม่แรงมากพอ ที่จะทำให้เราเชื่อได้ว่ามันเป็นเหตุผลที่ดีพอ ที่เราจะเข้าใจได้ว่าทำไมตัวละครถึงต้องทำแบบนี้
cr. www.vox.com
แต่ข้อเสียทั้งหมดที่ผ่านมานั้นถูกลบล้างให้เบาบางได้ด้วย End Credit ทั้ง 2 ตัว โดยเฉพาะตัวที่ 1 ถือว่าจัดหนัก ฮุคซ้าย อัพเปอร์คัตขวาใส่คนดูแบบรัว ๆ จนต้องหลุดอุทานออกมาดัง ๆ ว่า "เอางี้เลยเรอะ!!!" เรียกได้ว่าน่าตื่นเต้นจนอยากจะดูภาค 3 ไว ๆ แล้วเนี่ยย ดังนั้นทุกคนจึงห้ามพลาดเด็ดขาด End Credit เลยนะขอเตือนเลย! เพราะถ้าทุกคนได้ดูครบหมดแล้ว ก็จะเข้าใจได้เลยว่า MARVEL เฟส 4 ที่เรากำลังจะได้ดูในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีภาพรวมออกมายังไงและน่าตื่นเต้นแค่ไหน ว่าแล้วก็ขอไปจัดสไปเดอร์แมนดูอีกสักรอบละกัน!
cr. www.theverge.com
สรุป ไปดูเถอะ สนุกจริง ๆ ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนเพราะเนื้อเรื่องแข็งแกร่ง เล่าเรื่องอย่างฉลาด นักแสดงก็ดีงาม พี่เจคก็หล่อแบดบอยมาก ส่วนน้องเซนดาย่านางเอกของเราภาคนี้ก็สวยขึ้นเป็นกอง น่ามองแบบสุด และที่สำคัญน้องทอม ฮอล์แลนด์สไปเดอร์แมนของเจ๊ก็คือชนะเลิศไปเลยจ้า!!
คะแนน ⭐️⭐️⭐️⭐️
